ESG ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือกลไกสู่การเติบโตขององค์กรยุคใหม่: ทำไมองค์กรชั้นนำทั่วโลกถึงยกระดับการบริหาร ESG ให้เป็น Core Strategy
ตัวอย่างองค์กรที่นำหลัก ESG มาปรับใช้และประสบความสำเร็จทั้งในด้านธุรกิจ และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม (Case Studies & Best practice)
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev ถือเป็นอีกหนึ่งองค์กรขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อย่างจริงจัง และมีโครงการที่น่าสนใจมากมายที่สะท้อนความมุ่งมั่น และได้รับการยอมรับและจัดอันดับในระดับสากลอยู่เสมอ
(ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2025)
ThaiBev ได้บูรณาการหลักการ ESG เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจทางชัดเจน โดยมีเป้าหมายและโครงการที่ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ
ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment):
1. การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน (Climate Change and Energy Management)
- เป้าหมาย Net Zero: ไทยเบฟตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สำหรับ Scope 1 และ 2 ภายในปี 2040 (พ.ศ. 2583) และสำหรับ Scope 1, 2 และ 3 ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) โดยเป้าหมายระยะสั้นได้รับการรับรองจาก Science-Based Targets initiative (SBTi) เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2 ลง 42% ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) เทียบกับปีฐาน
- พลังงานหมุนเวียน: เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน และการพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- การรายงาน CDP: เข้าร่วมการเปิดเผยข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และความมั่นคงทางน้ำ (Water Security) กับ CDP ซึ่งเป็นกรอบการรายงานที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และได้รับคะแนนในระดับสูง (เช่น ระดับ A ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2025)
2. การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Water Stewardship)
- เป้าหมาย 100% คืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชน (ให้ได้เท่ากับปริมาณน้ำในสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศไทย) ภายในปี 2583
- ลด 7% สำหรับอัตราส่วนของการใช้น้ำต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ลดลงภายในปี 2573 เปรียบเทียบกับปีฐาน 2566
*ไม่รวมการดำเนินงานภายใต้ F&N โดยไทยเบฟจะประเมินข้อมูลพื้นฐานและทบทวนเป้าหมายเพื่อรวมการดำเนินงานของ F&N ไว้ในปี 2568
3. การจัดการของเสีย (Waste Management)
- ไทยเบฟร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเม็ดเซรามิกมวลเบา (Green Rock) โดยใช้ผงขี้เถ้าจากการเผาน้ำกากส่าจากกระบวนการกลั่นสุราเพื่อผลิตเป็นพลังงานความร้อน และได้มีการนำเม็ดเซรามิกมวลเบา ไปใช้ในการผสมคอนกรีตโดยพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คือ บล็อกก่อผนัง (Green Block) ซึ่งเหมาะสำหรับงานก่อสร้างผนัง ทั้งภายในและภายนอกอาคารในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้น
- ไทยเบฟได้แจกจ่ายน้ำกากส่าที่ผ่านการบำบัดจากกระบวนการผลิต ก๊าซชีวภาพในโรงงานสุรา ให้เกษตรกรนำไปใช้เป็นสารปรับปรุงดิน เนื่องจากน้ำกากส่ามีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะอ้อย ซึ่งจากการวิจัยพบว่าน้ำกากส่าช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อย โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดการ ใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกร ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 -15,000 บาทต่อไร่
- โครงการ KFC Harvest โดยอาหารส่วนเกินจะถูกนำไปบริจาคโดยตรงให้แก่ ผู้ด้อยโอกาส โดยบริษัทเดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย (QSA) ซึ่งเป็น หน่วยธุรกิจที่รับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการสาขาร้านอาหาร เคเอฟซีภายใต้การบริหารของไทยเบฟในประเทศไทย จะนำอาหาร ส่วนเกินไปบริจาคให้แก่สถานสงเคราะห์ 8 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ บ้านเมตตา (จังหวัดนครราชสีมา) บ้านวังทอง (จังหวัดพิษณุโลก) บ้านมหาราช (จังหวัดปทุมธานี) บ้านทับกวาง (จังหวัดสระบุรี) และสถานสงเคราะห์อื่น ๆ ในรูปแบบเดียวกัน รวมไปถึง มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (Scholars of Sustenance: SOS) อีกด้วย โดยในปี 2567 ร้านอาหารเคเอฟซีภายใต้การดำเนินงาน ของ QSA ได้ทำการบริจาคอาหารที่ยังคงคุณภาพดีปริมาณ 5,922 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.09 ล้านบาท
4. การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)
- ไทยเบฟประกาศความมุ่งมั่นใหม่ 2 ประการ คือ มีผลกระทบเชิงบวกสุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2568 ประการที่สอง คือ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ ป่าไม้ ในการดำเนินการของไทยเบฟและคู่ค้าทางตรง ในกลุ่มสินค้าเกษตรที่สำคัญ และกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษจากกิจการภายในประเทศไทย ภายในปี 2568
5. การจัดการบรรจุภัณฑ์ (Packaging & Circular Economy)
- การดำเนินธุรกิจของไทยเบฟในประเทศไทย ประสบความสำเร็จ ในการลดความหนาของกระป๋องอะลูมิเนียม ลดปริมาณวัตถุดิบ ที่ใช้ในการผลิตกระป๋องอะลูมิเนียมลงได้ 2,583 ตัน เมื่อเทียบกับ ปี 2563 และภายในปี 2573 ไทยเบฟตั้งเป้าที่จะลดปริมาณ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระป๋องอะลูมิเนียมลงอีก 2,700 ตัน นอกจากนี้ ไทยเบฟยังมีโครงการสำหรับบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ได้แก่ การลดน้ำหนักขวดพลาสติก PET การลดความหนาของฟิล์ม พลาสติก LDPE การใช้ขวดแก้วน้ำหนักเบา (NNPB) และการ ออกแบบไส้กล่องให้เป็นชิ้นเดียวที่สามารถลดปริมาณการใช้ กระดาษและประกอบง่ายขึ้น
- ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล (“TBR”) รับผิดชอบในการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ หลังการบริโภคจากพันธมิตรทางธุรกิจทั่วประเทศไทย และนำมา คัดแยกที่โรงงานคัดแยกของบริษัท ซึ่งวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ TBR เก็บกลับ ได้แก่ แก้ว เศษแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม ขวดพลาสติก PET และกล่องกระดาษลูกฟูก
ด้านสังคม (Social):
1. การพัฒนาชุมชนและสังคม
- ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ชุมชนชาวนครศรีธรรมราชประสบปัญหาจำหน่าย ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ เพราะการปิดตัวของตลาดทุกแห่ง โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้มภาคใต้จึงรวมกลุ่มรวบรวมข้อมูลสินค้า ทำการตลาดทั้งออนไลน์และออกบูธเพื่อสร้างตลาดให้ชุมชนได้เรียนรู้ และพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ เช่น ระบบการขนส่งสินค้า การคำนวณต้นทุน และการจัดบทบาทหน้าที่ของชุมชน จากผลการดำเนินดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 314,627 บาท มีผู้ได้รับผลประโยชน์ 181 ครัวเรือน ใน 18 ชุมชน โดยช่วยขยายช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ของชุมชน เช่น ส้มโอทับทิมสยาม มะละกอ มังคุด ฝรั่งกิมจู ผักเหรียง สะตอ ฯลฯ เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด ได้แก่ แม็คโคร และท็อปส์ซูเปอร์มาร์เกต
- โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม : อำเภอบางกรวย เป็นพื้นที่การขยายตัวของเมือง มีปัญหาขยะล้น ชุมชน เพราะไม่มีระบบการบริหารจัดการที่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชุมชนจึงรวมกลุ่มทำโครงการศูนย์เรียนรู้ ธนาคารขยะประกันชีวิต ส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ในครัวเรือน โดยนำขยะที่มีมูลค่าไปขายให้โครงการฯ ทำให้สมาชิกมีรายได้จาก การขายขยะ ซึ่งผลกำไรที่ได้นำมาจัดสรรสวัสดิการให้กับสมาชิกโครงการศูนย์การเรียนรู้ธนาคารขยะประกันชีวิต จำหน่ายขยะ สร้างรายได้ เฉลี่ยปีละ 1,000,000 บาท มีผู้ได้รับผลประโยชน์ 527 ราย มีจุดรับซื้อ-ขายขยะ 11 แห่ง สามารถลดปริมาณขยะในชุมชนได้ มากกว่าเดือนละ 10 ตัน หรือปีละ 120 ตัน โดยพัฒนาต่อยอดสร้าง โรงเรือนคัดแยกขยะ เป็นศูนย์กลางรวบรวมขยะก่อนนำไปจำหน่าย ทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ก่อให้เกิดการพัฒนา ระบบสวัสดิการของชุมชนเรื่องการรักษาพยาบาล ทำให้เกิดสังคมที่ ดูแลเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
2. การดูแลพนักงาน
- ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าในอาชีพ
- ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
3. สุขภาพและโภชนาการของผู้บริโภค
- ไทยเบฟมีการจัดตั้งทีมวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าสุขภาพที่มีความ ปลอดภัยและคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนั้นบริษัทยังร่วมมือกับ หน่วยงานอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยและพันธมิตรทางธุรกิจในการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้บริโภค โดยมีตัวอย่าง ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังนี้
- ลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์หรือปราศจากน้ำตาล
- ลดปริมาณโซเดียม
- เสริมสร้างคุณค่าทางโภชนาการในผลิตภัณฑ์
- ไม่ใช้กรดไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์
- ไม่ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) และสารกันบูด
- ไทยเบฟตั้งเป้าหมายเพิ่มเพิ่มสัดส่วนยอดขายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (ไม่รวมผลิตภัณฑ์นม) ร้อยละ 80% ของเครื่องดื่มไม่มีแอลกฮอล์ทั้งหมดภายในปี 2573 รวมทั้ง 75% ของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกฮอล์ที่ขายในประเทศไทยได้รับรองทางเลือกสุขภาพ
ด้านธรรมาภิบาล (Governance):
1. การกำกับดูแลกิจการที่ดีและจริยธรรมทางธุรกิจ
- ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีจริยธรรม
2. การบริหารความเสี่ยง
- เพื่อให้เป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาล ไทยเบฟดำเนินธุรกิจในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และสนองตอบ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไทยเบฟได้กำหนดให้การบริหารความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนธุรกิจประจำปี การตัดสินใจ การจัดการโครงการ และการดำเนินการอันเป็นกิจวัตรประจำวัน หลักการสำคัญของการจัดการความเสี่ยงของไทยเบฟ ดูรายละเอียดได้ที่นโยบายการบริหารความเสี่ยง Risk Management Policy
3. การเปิดเผยข้อมูล
- ไทยเบฟได้กำหนดกรอบการทำงานและกระบวนการในการจัดการ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ภายในองค์กร โดยกำหนด ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีผู้บริหารสูงสุดกำกับดูแลและบริหารจัดการเพื่อติดตาม ความเสี่ยง และวางแนวทางกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และจัดตั้ง กลุ่มงานในการกำกับดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์
4. การจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
- 100% ของวัตถุดิบทางการเกษตรที่สำคัญ (เช่น ข้าวมอลต์ ฮอปส์ น้ำตาล ปลายข้าว ใบชา และน้ำมันปาล์ม) มาจากการ จัดซื้อจัดจ้างอย่างมีความรับผิดชอบ ภายในปี 2568
- 100% ของคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ (Strategic Suppliers) จัดทำ และบังคับใช้แนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าของตนเอง ภายในปี 2573
- 100% ของคู่ค้าที่มีการซื้อขาย (Active Suppliers) จะได้รับ การประเมินและตรวจสอบความเสี่ยงด้านความยั่งยืนหรือใช้ ฐานข้อมูลความเสี่ยงจากองค์กรอิสระ ภายในปี 2573
- รางวัล SX TSCN Sustainability Award เพื่อยกย่องคู่ค้าที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่น
สามารถศึกษา: รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมและโครงการ ESG อื่นๆของไทยเบฟได้ที่นี่
มากกว่าแค่รายงาน: ปลดล็อคศักยภาพองค์กรด้วยการบริหารจัดการ ESG (ESG management to improve performance, reporting, and decision making for your company)
โลกเปลี่ยน ผู้นำปรับ ทำไม ESG ถึงสำคัญกว่าที่เคย
ทุกคนทราบหรือไม่ว่าในปี 2025 นี้ มากกว่า 90% ของบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 มีการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน และกองทุนทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอย่างยั่งยืนก็มีมูลค่ารวมกันทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันคือสัญญาณชัดเจนว่ากติกาของโลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวร
จากคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก สู่กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดในยุโรป และความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เลือกสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม…ปัจจัยเหล่านี้กำลังบีบให้องค์กรต้องมองไกลว่าแค่ตัวเลขกำไรในไตรมาส
หลายคนอาจมองว่า ESG (Environmental, Social and Governance) เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) หรือเป็น ‘ต้นทุน’ ที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ESG ได้กลายเป็น เครื่องมือทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง สำหรับผู้นำที่มองการณ์ไกล มันคือกลไกในการบริหารความเสี่ยง สร้างความสามารถในการแข่งขัน และเป็นหัวใจของการเติบโตที่แท้จริง
ในบทความนี้ เราจะไม่ได้มาพูดถึงแค่ว่า ESG คืออะไร แต่เราจะเจาะลึกให้เห็นว่าองค์กรของคุณจะสามารถนำหลักการ ESG มาใช้เพื่อ ยกระดับธุรกิจใน 3 มิติหลักได้อย่างไร: ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน, การสร้างความเชื่อมั่นผ่านการรายงานที่โปร่งใส, ไปจนถึงการตัดสินใจทางกลยุทธ์ที่เฉียบคมเพื่อคว้าโอกาสในอนาคต
มิติที่ 1: ยกระดับ "ประสิทธิภาพ" (Improve Performance)
- ไม่ใช่แค่ลดโลกร้อน แต่คือการลดต้นทุน: การจัดการพลังงาน, ทรัพยากร, และของเสียอย่างมีประสิทธิภาพตามหลัก E (Environment) ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้ เช่น
- การจัดการพลังงาน
- โรงงานอุตสาหกรรมปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเก่าให้ทันสมัย หรือลงทุนในเครื่องจักรใหม่ที่มีเทคโนโลยีประหยัดพลังงานมากขึ้น พร้อมทั้งจัดทำตารางการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) อย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้คือ เครื่องจักรที่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพและใช้พลังงานน้อยลง ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต การบำรุงรักษาที่ดียังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดโอกาสที่เครื่องจักรใช้งานไม่ได้ ซึ่งเป็นต้นทุนแฝง
- การจัดการทรัพยากร
- บริษัทก่อสร้างวางแผนการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างรัดกุม ลดเศษวัสดุเหลือทิ้ง หรือนำเศษวัสดุบางประเภทกลับมาใช้ใหม่ (Recycle/Upcycle) ในโครงการอื่นที่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ได้คือ ลดต้นทุนการจัดซื้อวัสดุใหม่ และลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดเศษวัสดุ
- การจัดการของเสีย
- โรงงานผลิตสินค้าลดขนาดบรรจุภัณฑ์ หรือเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ง่าย หรือมาจากวัสดุรีไซเคิล ผลลัพธ์คือสามารถลดต้นทุนค่าวัสดุบรรจุภัณฑ์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย
- การให้ความสำคัญกับหลัก S (Social) ไม่ใช่การทำเพื่อสังคม แต่เป็นการลงทุนในทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร นั่นคือ “คน” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและนวัตกรรมขององค์กร เช่น
- การดูแลพนักงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ การจัดสถานที่ทำงานให้ปลอดภัยตามหลักอาชีวอนามัย, มีแสงสว่างเพียงพอ, อากาศถ่ายเทสะดวก, มีพื้นที่พักผ่อนที่เหมาะสม ช่วยลดความเครียดและป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงาน ทำให้พนักงานมีสุขภาพกายและใจที่ดี
- สวัสดิการที่ครอบคลุมและเป็นธรรม นอกเหนือจากค่าตอบแทนที่เหมาะสม การมีสวัสดิการที่ดี เช่น ประกันสุขภาพกลุ่มที่ครอบคลุมทั้งพนักงานและครอบครัว, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, วันลาพักร้อนที่เพียงพอ, การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนาตนเอง (เช่น คอร์สเรียน) จะทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงและได้รับการดูแล
- ส่งเสริม Work-Life Balance การมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Hours/Remote Work options) ช่วยให้พนักงานสามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้ดีขึ้น ลดภาวะหมดไฟ (Burnout) พนักงานที่รู้สึกว่าองค์กรใส่ใจความเป็นอยู่ของพวกเขาทั้งในและนอกเวลางาน ย่อมมีขวัญกำลังใจที่ดี มีความผูกพันกับองค์กร (Employee Engagement) สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทุ่มเททำงานอย่างเต็มศักยภาพ
มิติที่ 2: เปลี่ยน “การรายงาน” ให้สร้างความเชื่อมั่น (Enhance Reporting)
ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่ความคาดหวังของสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) สูงขึ้น การรายงานข้อมูล ESG ไม่ได้เป็นเพียงภาระผูกพันที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขัน
- มากกว่าตัวเลขในกระดาษ: การรายงาน ESG ที่โปร่งใสตามหลัก G (Governance) ไม่ใช่แค่ทำตามกฎ แต่คือการสื่อสารที่ทรงพลังเพื่อสร้างความไว้วางใจ (Trust) ให้กับนักลงทุน, ลูกค้า และคู่ค้า จะยกระดับการสื่อสารขององค์กรให้เหนือกว่าแค่การนำเสนอตัวเลขและข้อมูลดิบ มันคือการบอกเล่าเรื่องราว (Narrative) ที่หนักแน่นและจริงใจเกี่ยวกับคุณค่า, ความมุ่งมั่น, และผลกระทบที่องค์กรสร้างขึ้นทั้งในเชิงบวกและลบ พร้อมแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
- สำหรับนักลงทุน (Investors) : การเปิดเผยข้อมูล ESG อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงความท้าทายและสิ่งที่ยังต้องปรับปรุง แสดงให้เห็นว่าองค์กรมีความรับผิดชอบและไม่ได้พยายามปิดบังปัญหา นักลงทุนจะมองเห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด (Unforeseen Risks) รวมถึงการลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว หรือการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน สามารถดึงดูดนักลงทุนที่มองหาโอกาสการเติบโตที่สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน
- สำหรับลูกค้า (Customers) : ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การรายงาน ESG ที่โปร่งใสและเข้าถึงง่าย ช่วยให้พวกเขามั่นใจว่ากำลังเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากองค์กรที่มีจริยธรรม
- สำหรับคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partner & Suppliers) : องค์กรขนาดใหญ่มักจะตรวจสอบประวัติ ESG ของคู่ค้าและซัพพลายเออร์ การมีรายงาน ESG ที่ดีและโปร่งใสช่วยให้คู่ค้ามั่นใจว่าองค์กรของคุณดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไม่มีความเสี่ยงด้านแรงงานหรือสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพวกเขา สร้างพื้นฐานของความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนและแข็งแกร่ง
- เปิดประตูสู่แหล่งทุนใหม่: กองทุนและสถาบันการเงินทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investing) หรือการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัย ESG นั้นชัดเจนและเติบโตอย่างรวดเร็ว การมีรายงาน ESG ที่ดีและน่าเชื่อถือจึงไม่ใช่แค่ "Nice-to-have" แต่เป็น "Must-have" สำหรับองค์กรที่ต้องการเข้าถึงแหล่งทุนในปัจจุบันและอนาคต
- ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มนำปัจจัย ESG มาประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ หรือสินเชื่อสำหรับธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงด้าน ESG สูง บริษัทที่มีการจัดการและรายงาน ESG ที่ดี จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และอาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า
- นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงความต้องการที่จะลงทุนในบริษัทที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัวของพวกเขา การมีรายงาน ESG ที่ชัดเจนช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ
มิติที่ 3: เสริมสร้างความแกร่งให้ “การตัดสินใจ” (Sharpen Decision-Making)
ข้อมูล ESG ทำหน้าที่เหมือน "เลนส์" พิเศษที่ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นและประเมินความเสี่ยงที่อาจไม่ปรากฏชัดในการวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบดั้งเดิม (Traditional Risk Assessment) ซึ่งมักเน้นไปที่ความเสี่ยงทางการเงินและการดำเนินงานเป็นหลัก
- มองเห็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: ข้อมูล ESG ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นความเสี่ยงที่อาจมองข้ามไป เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) หรือความเสี่ยงด้านกฎระเบียบใหม่ๆ
- ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) : ข้อมูล ESG ช่วยให้ตระหนักถึงผลกระทบโดยตรงที่อาจเกิดขึ้นกับสินทรัพย์และการดำเนินงานของบริษัท เช่น
- โรงงานหรือสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลัน, ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, หรือภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่ออาคาร, การหยุดชะงักของสายการผลิต, หรือการขาดแคลนวัตถุดิบ (เช่น น้ำในภาคเกษตรหรืออุตสาหกรรม)ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่อาจหยุดชะงักจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่ของซัพพลายเออร์
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) : ข้อมูล ESG ช่วยให้ประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น
- ความเสี่ยงด้านนโยบายและกฎหมาย: การออกมาตรการภาษีคาร์บอน, กฎหมายจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดขึ้น, หรือข้อกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานหรือทำให้ธุรกิจบางประเภทไม่สามารถแข่งขันได้หากปรับตัวไม่ทัน
- ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: เทคโนโลยีเก่าที่ปล่อยมลพิษสูงอาจล้าสมัยและถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีสะอาด ทำให้ต้องมีการลงทุนใหม่
- ความเสี่ยงด้านตลาด: ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาจทำให้สินค้าแบบดั้งเดิมมียอดขายลดลง
- ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง: การถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและนักลงทุน
- ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบใหม่ๆ (New Regulatory Risks) :
- กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น: นอกเหนือจากเรื่อง Climate Change ยังมีกฎหมายอื่นๆ เช่น การจัดการของเสีย, การควบคุมมลพิษทางน้ำและอากาศ, การใช้สารเคมีอันตราย ซึ่งหากองค์กรไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับหรือสั่งปิดกิจการ
- กฎหมายด้านสังคม: เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่เข้มงวดขึ้น, ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน (เช่น การตรวจสอบการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานเด็ก), กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่ค่าปรับจำนวนมหาศาลและความเสียหายต่อชื่อเสียง
- กฎหมายด้านธรรมาภิบาล: เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับความหลากหลายของคณะกรรมการ, การเปิดเผยข้อมูลผู้บริหาร, หรือมาตรการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่เข้มข้นขึ้น
- ค้นพบโอกาสทางธุรกิจใหม่: การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ช่วยให้เห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรม, พัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการสีเขียว (Green Products) ที่ตอบโจทย์ตลาด และวางกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
- การเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่
- หลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ มีข้อกำหนดด้าน ESG สำหรับสินค้านำเข้า การมีผลการดำเนินงาน ESG ที่ดีจึงเป็นใบเบิกทางสู่ตลาดเหล่านี้
- หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากมีนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว โดยให้ความสำคัญกับซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐาน ESG ที่ดี
- ดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มใส่ใจความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
- การสร้างแบรนด์และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ลูกค้าในระยะยาว
- เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ : องค์กรที่แสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมและโปร่งใส จะได้รับความไว้วางใจและความชื่นชมจากสาธารณชน
- สร้างความผูกพันทางอารมณ์ : ลูกค้ารู้สึกดีที่ได้สนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจโลกและสังคม ซึ่งนำไปสู่ความภักดีที่มากกว่าแค่เรื่องราคาหรือคุณภาพสินค้า
- การวางกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขัยระยะยาว
- Future-proofing ธุรกิจ : การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ช่วยให้องค์กรคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ทั้งความเสี่ยงและโอกาส เพื่อปรับโมเดลธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ องค์กรที่แสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมและโปร่งใส จะได้รับความไว้วางใจและความชื่นชมจากสาธารณชน
- สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) : การดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างผลกำไรให้องค์กร เป็นแนวทางที่สร้างความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
การทำความเข้าใจภาพรวมนี้จะช่วยให้องค์กรเลือก Framework ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และข้อกำหนดในแต่ละพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
หากองค์กรของคุณกำลังมองหาเครื่องมือช่วยจัดการข้อมูล ESG อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การรายงานสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล สามารถกรอกแบบฟอร์มเพื่อติดต่อเราได้ที่: PALO IT Thailand