แนวคิด ESG เป็นแนวคิดที่มีความสำคัญต่อการบริหารธุรกิจในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวและแข่งขันในตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการเพิ่มความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคและนักลงทุน สร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับแนวคิด ESG ตั้งแต่คำนิยามไปจนถึงการนำไปปฏิบัติในองค์กร
ESG ย่อมาจาก Environmen (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นแนวคิดที่ใช้การประเมินและวัดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ครอบคลุม 3 มิติข้างต้น ซึ่งมีหน่วยงานที่ให้การรับรองหรือให้คะแนนตามกรอบการดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป
ESG เป็นหลักเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและในระดับสากล ช่วยป้องกันธุรกิจที่มีการฟอกเขียว (Greenwashing) ซึ่งหมายถึงบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ไม่สามารถปฏิบัติตามที่อ้างว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่กลับทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าบริษัทหรือผลิตภัณฑ์นั้นมีความยั่งยืน โดยไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ แนวคิดดังกล่าวยังช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบการดำเนินงานด้าน ESG กับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน เพื่อพิจารณาแนวโน้มการเติบโตว่ามีความยั่งยืนในระยะยาวหรือไม่อีกด้วย
การบริหารองค์กรตามแนวคิด ESG คือการให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบใน 3 ด้านหลัก ดังต่อไปนี้
ในปี 2016 UN ได้กำหนด Sustainable Development Goals ที่ผ่านการรับรองจาก 193 ประเทศสมาชิก โดยมุ่งเน้นให้เกิดความสมดุลของ 3 เสาหลักคือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกประเทศรวมถึงองค์กรต่าง ๆ เดินเครื่องเต็มกำลังเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
ความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนดังกล่าว จึงทำให้แนวคิด ESG ได้รับการตอบรับจากองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยเล็งเห็นว่า การทำธุรกิจโดยมุ่งไปที่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมตามมา ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ ESG มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น สามารถแบ่งเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้
มิติทางสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในกรอบการดำเนินงานที่สำคัญตามแนวคิด ESG ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการแสดงเจตนารมณ์ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างจริงจัง ก็คือ การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก หรือ GHG Accounting ที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจและสามารถบริหารจัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และดำเนินการและรายงานผลอย่างเป็นระบบ
ช่วยให้องค์กรมีภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Carbon Footprint พร้อมระบุจุดที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการปรับปรุง พร้อมกันนี้ยังกำหนดปีฐาน (Baseline Setting) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ช่วยตั้งเป้าหมายและติดตามความคืบหน้าเป็นระยะช่วยให้องค์กรดำเนินการตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริงและวัดผลได้ พร้อมติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามความก้าวหน้าและปรับปรุงการดำเนินงานในจุดต่าง ๆ เพิ่มเติม
3. บริหารจัดการความเสี่ยงช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Resilience) ที่มีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อ Supply Chain และยังช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance) ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4. เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันปัจจุบันผู้บริโภคและนักลงทุนมักสนใจบริษัทหรือองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งการจัดทำก๊าซบัญชีเรือนกระจกก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริงอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ ยังกระตุ้นให้องค์กรสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
5. ช่วยลดกำแพงกีดกันทางการค้าด้วยภาษีคาร์บอนเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุก (Proactive Measures) ในการลดภาระภาษีที่จะจัดเก็บในอนาคต พร้อมกุมความได้เปรียบในการสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน
สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่ทำให้หลายบริษัทหันมาใช้แนวคิด ESG ในการบริหารมากยิ่งขึ้น โดยหลาย ๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยกำลังเตรียมใช้มาตรการภาษีคาร์บอน เพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
มาตรการภาษีคาร์บอนคือ ภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บบริษัทหรือองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานกำหนด ทั้งจากทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า การบำบัดน้ำเสีย การขนส่งสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการตัดต้นไม้ หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ
ปัจจุบันประเทศไทยได้นำแนวคิดการจัดเก็บภาษีคาร์บอนมาใช้ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 โดยอ้างอิงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณานำภาษีคาร์บอนมาบังคับใช้อย่างเต็มระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายใน พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายใน พ.ศ. 2608 ในลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการ
ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน หรือ Carbon Border Tax คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากประเทศที่ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายภาษีคาร์บอน ซึ่งปัจจุบันได้มีการบังคับใช้ที่สหภาพยุโรป โดยจะเริ่มเก็บในปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป ซึ่ง 9 อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้คือ อุตสาหกรรมซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย ไฮโดรเจน เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม
ด้วยเหตุนี้ การดำเนินการจัดทำบัญชีคาร์บอน ยิ่งเร็วมากเท่าไร ก็ยิ่งช่วยลดกำแพงภาษีและข้อจำกัดต่าง ๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น
สำหรับองค์กรที่ต้องการนำแนวคิด ESG มาใช้ในการบริหาร จะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กรทั้งระบบ และให้ความสำคัญ โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้
การตั้งคณะทำงาน จะช่วยให้ผู้บริหารและพนักงานตระหนักว่าบริษัทมีความจริงจังและต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง โดยทีมควรประกอบด้วยบุคลากรจากหลากหลายแผนกในองค์กร เพื่อจะได้นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติได้จริง
ทำการประเมินสถานะของบริษัทว่าได้เดินตามแนวทาง ESG มากน้อยเพียงใด เพื่อดูว่าบริษัทของเราเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เป็นอย่างไร และกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบ จากนั้นเรียงลำดับความสำคัญในการทำงานจากมากไปหาน้อย
เป้าหมายที่ไม่ท้าทาย อาจจะทำให้พนักงานไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เป้าหมายที่ยากเกินไปก็อาจจะทำให้ท้อและหมดกำลังใจได้ จึงควรระบุเป้าหมายที่เป็นไปได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ช่วยให้พนักงานตระหนักถึงความเอาจริงเอาจัง และกระตุ้นให้พนักงานทั้งองค์กรมีส่วนร่วม และนำแนวคิด ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง
การติดตามและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ทุกคนเห็นว่าบริษัทเอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าว และยังใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผลได้
จัดทำรายงานประเมินผลและความคืบหน้าเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบ และมีการปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การดำเนินการตามนโยบาย ESG ให้มีประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ นอกจากความตั้งใจจริงของผู้บริหารและองค์กรแล้ว การใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพก็มีส่วนช่วยให้การทำงานฉับไว และได้รับความยอมรับมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือที่ช่วยในการทำ Sustainability Report สำหรับองค์กร (หรือที่มักเข้าใจผิดเรียกกันว่า ESG Report) ขอแนะนำเครื่องมือ Impact Tracker แพลตฟอร์ม ESG Data จาก PALO IT ช่วยจัดเก็บและแสดงผลข้อมูล Carbon Footprint ในรูปแบบของแดชบอร์ด ใช้งานง่าย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-180-6121 และอีเมล thailand@palo-it.com
ข้อมูลอ้างอิง