ผมได้เริ่มใช้ Visual Studio Code มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และช่วงนั้นก็ได้ JetBrains license ผ่านโปรแกรมนักศึกษามา แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างสอง tools นี้เท่าที่ควร ผมเลยใช้ IntelliJ เฉพาะตอนเรียน Java เท่านั้น และใช้ Visual Studio Code เป็นหลักสำหรับงานอื่น ๆ
แต่หลังจากที่ได้เข้าทำงานใน PALO IT ได้มีโอกาสทำโปรเจกต์ที่ต้องเขียนหลายภาษา เช่น TypeScript, Python และ Go บริษัทก็ได้ให้ JetBrains license มา คราวนี้ก็เลยเปิดใจใช้ JetBrains อีกครั้ง
และหลังจากที่ได้ลองใช้งานทั้ง Visual Studio Code และ JetBrains ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์และเปรียบเทียบระว่างสองเครื่องมือนี้ครับ
🔧 Visual Studio Code
Visual Studio Code เป็น code editor ที่ใช้งานง่าย เน้นติดตั้งส่วนเสริม (extension) ผ่าน Marketplace ทำให้รองรับหลายภาษาได้ เช่น JavaScript, TypeScript สำหรับงานฝั่ง frontend หรือ Python และ Go สำหรับ backend แค่ติดตั้ง extension ที่เกี่ยวข้องก็ใช้งานได้เลย
แต่ต้องเซ็ตอัพเองอยู่พอสมควร เช่นตอนเขียน Python ต้องทำสิ่งเหล่านี้ก่อน
.ipynb (Jupyter notebook)🧠 JetBrains IDEs
แต่ถ้าใช้ PyCharm (JetBrains IDE ที่เน้น Python) ตัว IDE จะจัดการให้แทบทุกอย่างให้เอง เพราะ JetBrains แยกเครื่องมือให้เฉพาะกับแต่ละภาษา ทำให้แต่ละตัวมีฟีเจอร์เฉพาะทางแบบ built-in เช่น
🔍 รายชื่อ JetBrains IDE ต่างๆและภาษาที่รองรับ
📚 สรุปสั้น ๆ
🏆ผู้ชนะ JetBrains
ผมให้ JetBrains ชนะในหมวดนี้ เพราะชอบที่มันตั้งค่าให้แทบทุกอย่าง และไม่ติดเรื่องพื้นที่เพราะตอนนี้โน้ตบุ๊คสมัยนี้มีความจุเพียงพออยู่แล้ว
🧠 ตารางเปรียบเทียบ
🔧 Visual Studio Code
VS Code รองรับ plugin ได้หลากหลาย ทำให้เราปรับแต่งให้เข้ากับโปรเจกต์หรือสไตล์ของตัวเองได้ เช่น
Visual studio marketplace
และตอนนี้ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา VS Code ก็รองรับ GitHub Copilot extension ซึ่งมีฟีเจอร์อย่าง
ทุกอย่างสามารถหาและติดตั้งได้จาก Visual Studio Code Marketplace
🧠 JetBrains IDEs
JetBrains ก็มีปลั๊กอินเหมือนกันผ่าน JetBrains Marketplace แต่จะค่อนข้างจะต่างจาก VS Code ตรงที่
🧩 ตารางเปรียบเทียบ
📚 สรุปสั้น ๆ
VS Code มี extension ให้ใช้เยอะมาก developer สามารถเลือกใช้ปลั๊กอินได้ตามใจ ช่วยให้มี productivity ขึ้น ส่วน JetBrains มีข้อดีตรงที่มีฟีเจอร์ให้พร้อมอยู่แล้ว ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเท่าไหร่
🏆ผู้ชนะ: Visual Studio Code
เพราะชอบปรับแต่ง VS Code ให้เข้ากับวิธีทำงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นติดตั้ง plugin เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ หรือเปลี่ยนธีมเปลี่ยนไอคอน
🔧 Visual Studio Code
Visual Studio Code มีระบบ Git ในตัวผ่าน Source Control Panel ที่ด้านซ้ายที่ช่วย
🧠 JetBrains IDEs
JetBrains IDEs ก็มีระบบ Git ในตัวพร้อม Inerface รู้สึกใช้งานง่าย รองรับเกือบทุกคำสั่งของ Git ที่ต้องการ และยังมี
2. Feature เพิ่มเติม เช่น
🧩 ตารางเปรียบเทียบ
📚 สรุปสั้นๆ
ทั้งสองเครื่องมือรองรับการใช้งาน Git ได้ดี ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบไหน
🏆ผู้ชนะ: JetBrains IDEs
เพราะมี UI ที่ใช้งานง่าย และที่ชอบคือมีทุกคำสั่ง Git ทำให้แทบไม่ต้องใช้คำสั่ง Git ใน command line เลย
🔧 Visual Studio Code
Visual Studio Code มี Live Share extension เป็น plugin ที่เอาไว้ใช้ในการทำงานร่วมกันแบบ real time สามารถ
🧠 JetBrains IDEs
Code With Me ที่มาพร้อมใน JetBrains IDEs จะให้ประสบการณ์ collaboration ที่คล้ายๆกับ Live Share extension โดย
2. ยังใช้ setting ส่วนตัวของแต่ละคนเหมือนเดิมเวลาเข้า session เช่น keybindings
3. แยก changelist ให้แต่ละ user
📚 สรุป
Visual Studio Code Live Share และ JetBrains Code With Me เป็นเครื่องมือ real-time collaboration ที่ดีมาก ทำให้สามารถ pair programming ได้โดยไม่ต้อง clone repository หรือ setup โปรเจกต์ที่เครื่องตัวเอง
แต่ Visual Studio Code ใช้ workspace ร่วมกันแบบไม่มีการแยก changelist อาจจะทำให้เกิดความสับสนหได้ถ้าแก้ไฟล์เดียวกันพร้อมกัน ส่วน JetBrains มีการแยก changelist ตาม user ทำให้ลดโอกาส merge conflict ได้
🏆 Winner: Tie
Visual Studio Code Live Share และ JetBrains Code With Me ทำได้ดีทั้งคู่ในด้าน real-time collaboration ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวหรือเพื่อนร่วมทีมชอบใช้ tool ไหนมากกว่ากัน
🔧 Visual Studio Code
Visual Studio Code มีฟีเจอร์ debugging ในตัว และสามารถเพิ่มความสามารถผ่านการลง extension ได้
2. รองรับ JavaScript, TypeScript และ Node.js แบบ native
3. สำหรับภาษาอื่นหรือกรณีที่ต้อง debug ซับซ้อน อาจต้อง
launch.json เพื่อ config debuggerการทำ testing ก็ต้อง setup เพิ่มเติม เช่น ติดตั้ง Jest extension สำหรับ JavaScript unit test
และถ้าใครลง Github Copilot extension ก็จะช่วย generate test case หรือแนะนำ fix สำหรับ test ที่ fail ได้เหมือนกัน
🧠 JetBrains IDEs
JetBrains IDEs มี debugging tool ที่จะอิงจาก run configuration ของผู้ใช้ และสามารถสร้าง run/debug configuration สำหรับ testing framework เช่น JUnit เพื่อใช้กับ environment ต่าง ๆ การเริ่ม debug ก็แค่กดปุ่ม Debug เหมือนกด Run โดยใช้ configuration เดียวกัน
ฟีเจอร์ที่ช่วย debug ก็จะมี
ค่อนข้างเหมาะมากกับการ debug โค้ดที่มี data structure ซับซ้อน หรือทำงานแบบ concurrent
🧩 Comparison
📚 Summary
ทั้ง Visual Studio Code และ JetBrains IDEs ต่างมี debugging tool เป็นของตัวเอง
🏆 Winner: JetBrains IDEs
ยกให้ JetBrains ชนะไป เพราะมี debugging tool ที่ใช้งานได้ทันทีแบบไม่ต้อง config อะไรเพิ่ม ใช้ run configuration เดียวกับตอน run app ได้ แต่ตอนรัน test รอบแรกอาจจะต้องปรับ config เพิ่มเติมนิดหน่อย
🔧 Visual Studio Code
Visual Studio Code มีตัวช่วย refactoring และ code intelligence ในตัวและสามารถลง extension เพิ่มสำหรับใช้ในแต่ละภาษา function refactor ที่ใช้กันบ่อยๆก็จะมี
ส่วน feature ที่ช่วยเขียนโค้ดของ VS Code IntelliSense เช่น
สามารถลง extension เพื่อให้รองรับภาษาอื่นได้ ส่วนที่รองรับแบบ built-in จะมี TypeScript และ JavaScript
🧠 JetBrains IDEs
ส่วน JetBrains ก็จะมี refactoring feature ต่างๆ เช่น
JetBrains ยังให้ความสามารถด้าน code suggestion อื่น ๆ เช่น Type inference, redundant code detection หรือ Quick-fix intentions
🧩 Comparison
📚 Summary
Visual Studio Code ให้ refactoring และ code suggestion ผ่าน extension ที่ลงเพิ่มเป็นหลัก ส่วน JetBrains IDEs มาพร้อม refactoring tools ที่เข้าใจโค้ดและจะมีการอัพเดท dependencies ของโค้ดที่แก้อัตโนมัติ
🏆 Winner: JetBrains IDEs
ส่วนตัวแล้วรู้สึกสะดวกมาก เพราะสามารถ refactor ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าโค้ดที่เกี่ยวข้องจะพัง เพราะ IDE จะอัปเดตทุกอย่างให้เองเลย
✅ Visual Studio Code
❌ Visual Studio Code
✅ JetBrains IDEs
❌ JetBrains IDEs
บริการของเราครอบคลุม:
ไม่ว่าคุณจะมีไอเดียใหม่ๆ หรือมีระบบอยู่แล้วที่อยากต่อยอด PALO IT พร้อมเป็น partner ที่จะช่วยให้คุณก้าวไปได้ไกลยิ่งขึ้น
ทักไปที่เพจ Facebook: PALO IT Thailand ได้เลยครับ 🎉