ถ้าคุณเป็น dev เคยไหมครับเวลาอยากทำ side project หรือต้องทำ PoC เร็วๆ แต่ไม่มี designer มาช่วย
หรือถ้าคุณคือ non-dev เช่น project manager, product owner ที่อยากทำ prototype ออกมาให้ทีมดูไว ๆ แต่ต้องมานั่งงมวิธีการใช้ Figma จนเสียเวลากว่าเดิม
ผมเป็นคนหนึ่งที่เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน จนกระทั่งได้มาเจอกับ “Figma Make” — AI assistant tool ตัวใหม่จาก Figma ที่ทำให้ dev หรือ manager แทบจะเหมือนมี designer เทพ ๆ ส่วนตัวเลยทีเดียว 😎
สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับ ผมภัทรครับ
เป็น software developer ที่บริษัท PALO IT
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงโปรเจ็กต์ร่วมกับทีมที่ Australia เลยได้รู้จักและลองใช้ Figma Make จริงจังเป็นครั้งแรก บอกเลยว่ามันเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานของผมไปเลยโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะเวลาเราขึ้นโปรเจกต์ใหม่ ที่เป็น PoC (Proof of Concept) หรือ side project ที่ไม่ได้มี designer มาช่วย แต่ก็อยากให้ UX/UI ออกมาดี
ก่อนมี Figma Make ชีวิตมันเป็นแบบนี้…
แต่ทั้งหมดนี้ สามารถแก้ได้ ด้วย Figma Make!! ช่วยลดเวลาการทำ prototype หรือสร้างดีไซน์สำหรับ prototype ได้จากหลักวันเหลือหลักชั่วโมงเท่านั้น
Figma Make พึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งตอนแรกอยู่ใน paid plan แต่ตอนนี้ปล่อยให้ใช้งาน Free แล้ว!
โดย Figma ได้อธิบายไว้ว่า Figma Make คือ “Prompt-to-app tool” หรือกล่าวได้ว่า มันคือเครื่องมือที่ช่วยสร้าง application แบบ prototype ผ่านการ prompt และสามารถ export ออกมาเป็น source code ได้ทันที
สรุปสั้นๆ มันคือ
“การรวมกันของ Figma + AI Designer Assistant + Code Generator”
แต่ถ้าใครเคยเล่น Figma มาก่อนจะรู้ว่ามันมี Figma AI อยู่แล้ว งั้น Figma Make ต่างกับ Figma AI ตัวเก่ายังไงกันนะ?
Figma Make สามารถเข้าใจ prompt ที่มีความซับซ้อน และ generate ผลลัพธ์ออกมาเป็น prototype ได้หลายหน้า หลาย flow เช่น
Create a cat-matching mobile app like Tinder, but for cats. After a successful match, show a celebration page with the text: “Congrats, you’ve been adopted by the cat!” Also include match history, and user settings features.
Figma Make จะสร้าง prototype และ UI ออกมาได้ทั้ง flow ทันที ในขณะที่ Figma AI จะทำได้แค่ทีละ 1 หน้า หรือทีละ component เท่านั้น
หมายถึงความสามารถของ Figma Make ในการ “เข้าใจบริบทของดีไซน์” ที่เรามีอยู่แล้ว อ้างอิงดีไซน์ดิม, screenshot หรือ component จาก design library ของทีม เพื่อให้การออกแบบฟีเจอร์ใหม่ยังคงสไตล์และโทนของโปรเจกต์เดิมไว้
คือการที่สั่งงาน AI แบบต่อเนื่อง (step-by-step) ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเขียน prompt ยาวตั้งแต่แรก แต่สามารถ ปรับ เพิ่ม หรือต่อยอด จากผลลัพธ์เดิม ได้เรื่อย ๆ เหมือนเราคุยกับ AI
ทั้งสองฟีเจอร์นี้ช่วยให้การสร้างฟีเจอร์ใหม่ ไม่หลุดโทนของดีไซน์เดิม
และถ้า prompt แรกออกมาไม่ตรงใจ เราก็สามารถ chain prompt ต่อได้เรื่อย ๆ จนได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เทคนิคหนึ่งที่ผมใช้คือ แยก design แต่ละฟีเจอร์ออกเป็นหลายไฟล์ ของ Figma Make เพื่อลดความซับซ้อนแต่ยังคงความสอดคล้องของโปรเจ็กต์ได้อยู่ระดับหนึ่ง
เราสามารถจำกัดขอบเขตการแก้ไขได้ เช่น ให้แก้เฉพาะใน component นี้เท่านั้น ช่วยลดปัญหา prompt ผิดพลาด ไปโดน layout ส่วนอื่น แต่ถ้าเลือกขอบเขตผิด Figma Make ก็จะบอกเรา ให้เรากำหนดขอบเขตใหม่ให้ถูกต้อง
ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ design แต่ยัง generate source code ออกมาให้ด้วย
ตอน dev สร้าง app จริง สามารถเปิด prototype มาดู logic และ flow ประกอบได้เลย ถือว่าช่วย dev ได้เยอะมากๆๆ 🤩
การที่เราแค่ prompt แล้วได้ prototype ที่กดเล่นได้จริงออกมาเลย เหมาะมากกับการช่วยทดสอบคอนเซปต์แบบไว ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลานาน
รวมไปถึง dev สามารถทำความเข้าใจผ่านการเล่นกับ prototype ลดเวลาประชุมไปได้อีกเป็นกอง
จากประสบการณ์ของผมตอนทำงานกับทีม Australia — พอ PM และ designer ใช้ Figma Make สร้าง prototype แล้วส่งต่อให้ dev ดู เราประชุมแค่ 15–20 นาทีเพื่อ ทำความเข้าใจประเด็นที่สำคัญให้ตรงกัน แทนที่จะต้อง groom feature กันเป็นชั่วโมง
เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่พึ่งอัปเดตเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งทำให้เราสามารถแปลงหน้านั้นๆ จาก prototype ออกมาเป็น Figma layout สามารถนำไปทำงานต่อใน Figma Design ได้ทันที
ตรงส่วนนี้ เราสามารถใช้ Figma MCP ให้ Copilot มองเห็นดีไซน์จริง และนำไปขึ้น component ต่อได้โดยตรง ช่วยให้การอ้างอิงดีไซน์มีความแม่นยำกว่าการใช้ screenshot อย่างมาก
สำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้ Figma MCP แนะนำให้ลองดูเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ครับ:
ถ้าคุณเป็น Dev
ถ้าคุณเป็น Manager / Product Manager / Designer
ในข้อนี้ใส่ดอกจันไว้ล้านตัวเลยครับ ⭐️
ถึงแม้ Figma Make จะสร้าง UI ที่สวยได้ แต่ UX (User Experience) ที่ดี ยังต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจในผู้ใช้งานของ designer อยู่ดี
การที่เราสามารถสร้าง prototype ได้ภายใน 15 นาที ไม่ได้หมายความว่าพร้อมขึ้น production คุณยังต้องมี development team มาดู architecture, code quality, security, deployment และอื่นๆอีกมากมายอยู่ดี
เท่าที่ผมหาข้อมูล ปัจจุบัน Figma Make ยังรองรับแค่ React (Typescript), Js, HTML และ CSS
หวังว่าในอนาคต Figma จะเพิ่ม framework หรือภาษาอื่น ๆ อย่าง Vue, Flutter หรือ Java ให้รองรับมากขึ้น
ปัจจุบัน Figma Make ยังไม่สามารถใช้งานบนแท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟนได้ ดังนั้นถ้าใครชอบพกแค่ iPad แบบผม อาจจะยังใช้งานไม่สะดวกมากนัก
ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลือกให้เปลี่ยน AI model ทำให้ใช้ได้แค่ตัวที่ Figma กำหนดไว้เท่านั้น แต่เราสามารถปรับ Guideline.md ซึ่งเป็นไฟล์ที่ใช้กำหนดกรอบคำสั่ง (instruction) เบื้องต้นให้ AI ช่วยคุมโทนหรือแนวทางการออกแบบได้
ใน Figma มีการแบ่งประเภทผู้ใช้ตาม Plan และ Seat ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ รวมถึง Figma Make
ถ้าใครใช้แบบ Starter (Free) plan อันนี้สามารถใช้งาน Figma Make ได้ในระดับหนึ่ง แต่จะมีข้อจำกัดบางในบางฟีเจอร์ เช่น library reference
ส่วนใน Paid Plan จะมีสิทธิ์ใช้งานที่แตกต่างกันตามประเภท Seat เช่น Full, Dev, Collab และ View โดย
นอกจากนี้ Figma Make ยังมีระบบ AI Credits ซึ่งจะจำกัดจำนวนการ prompt ต่อเดือน หากใช้เยอะจน credit หมด ก็อาจต้องรอรอบเดือนถัดไป หรือ อัปเกรด Plan เพื่อเพิ่มโควตา
ส่วนตัวผมมองว่า Figma Make คือจุดเปลี่ยนสำคัญของการทำงานระหว่าง Tech — Design — Business เพราะมันทำให้ทุกคนเริ่มจาก idea ไปสู่ prototype ได้ง่ายขึ้น ก่อนพัฒนาไปเป็น application จริง
ผมเชื่อว่าการมาของเทคโนโลยีแบบ Figma Make จะทำให้ในอนาคต เราได้เห็น idea ใหม่ ๆ ถูกทดลองและพัฒนา จนกลายเป็น application ที่สร้าง business value ได้จริงมากขึ้น
ถ้าใครเป็น dev, PM, หรือ startup founder ที่อยากทำโปรเจกต์เร็ว ๆ ลองใช้ดูครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงตื่นเต้นกับมันขนาดนี้ 😄
สุดท้ายแล้ว ใครที่อ่านแล้วคิดว่าทีมยังติดปัญหาเกี่ยวกับการรันโปรเจ็กต์อยู่
ทีม PALO IT ของพวกเรายินดีเข้าไปช่วยได้นะครับ (ขายของ ๆ 😁)
ไม่ว่าจะเป็น
ติดต่อพวกเราได้ที่
Facebook: PALO IT Thailand (https://www.facebook.com/PALOITTH)