ทุกคนทราบหรือไม่ว่าในปี 2025 นี้ มากกว่า 90% ของบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 มีการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน และกองทุนทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอย่างยั่งยืนก็มีมูลค่ารวมกันทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันคือสัญญาณชัดเจนว่ากติกาของโลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างถาวร
จากคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก สู่กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดในยุโรป และความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เลือกสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม…ปัจจัยเหล่านี้กำลังบีบให้องค์กรต้องมองไกลว่าแค่ตัวเลขกำไรในไตรมาส
หลายคนอาจมองว่า ESG (Environmental, Social and Governance) เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) หรือเป็น ‘ต้นทุน’ ที่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ESG ได้กลายเป็น เครื่องมือทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง สำหรับผู้นำที่มองการณ์ไกล มันคือกลไกในการบริหารความเสี่ยง สร้างความสามารถในการแข่งขัน และเป็นหัวใจของการเติบโตที่แท้จริง
ในบทความนี้ เราจะไม่ได้มาพูดถึงแค่ว่า ESG คืออะไร แต่เราจะเจาะลึกให้เห็นว่าองค์กรของคุณจะสามารถนำหลักการ ESG มาใช้ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน, การสร้างความเชื่อมั่นผ่านการรายงานที่โปร่งใส, ไปจนถึงการตัดสินใจทางกลยุทธ์ที่เฉียบคมเพื่อคว้าโอกาสในอนาคต
มิติ "สิ่งแวดล้อม" หรือ Environment (E) มักจะเป็นด้านที่ถูกจับตามองและวัดผลได้เป็นรูปธรรมที่สุดในบรรดาหลักการ ESG ทั้งหมด มันคือการที่องค์กรแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่การดำเนินงานของตนมีต่อโลกธรรมชาติ ตั้งแต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการใช้ทรัพยากร
การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คือการมองเห็นทั้ง "ความเสี่ยง" และ "โอกาส" ที่จะสร้างความได้เปรียบและขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประเด็นสำคัญของสิ่งแวดล้อม ได้แก่
นี่คือประเด็นที่ใหญ่และเร่งด่วนที่สุด การดำเนินงาน ในหัวข้อนี้ครอบคลุมถึง
การจัดการเรื่องนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีคาร์บอนในอนาคต, สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน, และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
คือการเปลี่ยนมุมมองจาก "ใช้แล้วทิ้ง" (Linear Economy) ไปสู่ "การใช้ให้คุ้มค่าและวนกลับมาใช้ใหม่" (Circular Economy) ครอบคลุมถึง
การจัดการเรื่องนี้จะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบและค่ากำจัดของเสีย, สร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, และลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนทรัพยากรในอนาคต
3. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity)
คือการยอมรับว่าธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ และต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อพืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
การจัดการเรื่องนี้จะลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานที่พึ่งพิงธรรมชาติ (เช่น การเกษตร, การท่องเที่ยว), เสริมสร้างชื่อเสียงของแบรนด์, และเตรียมพร้อมสำหรับกฎระเบียบใหม่ๆ ในอนาคต
เมื่อพูดถึงมิติ "สังคม" หรือ Social ในหลักการ ESG หลายคนมักจะนึกถึงเรื่องสวัสดิการและการดูแลพนักงาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขอบเขตของตัว "S" นั้นกว้างไกลและลึกซึ้งกว่าการดูแลคนในองค์กร แต่หมายรวมถึงความรับผิดชอบต่อผู้คนทั้งหมดในห่วงโซ่คุณค่าของคุณ ประเด็นสำคัญของสังคม ได้แก่
1. Social License to Operate
หัวใจสำคัญของ "S" คือการที่ธุรกิจได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคมและชุมชนที่ตนเองดำเนินกิจการอยู่ เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่ชี้วัดว่าสังคม "อนุญาต" ให้คุณดำเนินธุรกิจในพื้นที่ของพวกเขาต่อไปได้หรือไม่
หากปราศจากสิ่งนี้ ธุรกิจอาจเผชิญกับการต่อต้านจากชุมชน, การคว่ำบาตรจากผู้บริโภค, หรือความล่าช้าของโครงการ ซึ่งทั้งหมดคือความเสี่ยงทางธุรกิจที่ประเมินค่าไม่ได้
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลก ตั้งแต่นักลงทุนไปจนถึงผู้บริโภค ไม่ได้คาดหวังแค่ให้บริษัท "ทำดี" แต่คาดหวังให้บริษัทดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนตามแนวทางของสหประชาชาติ (UNGP) ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลักคือ
การนำกรอบการทำงานนี้มาปรับใช้ คือกุญแจสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนและสร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล
พนักงาน คือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนสำคัญ แต่ไม่ใช่องค์ประกอบเดียวเท่านั้น องค์กรที่ให้ความสำคัญกับมิติ "S" อย่างแท้จริง จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อกลุ่มอื่นๆ ด้วย เช่น
การบริจาคหรือการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นสิ่งที่ดี แต่ในโลกของ ESG สิ่งที่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการเห็นคือ "การวัดผลกระทบทางสังคม" (Social Impact Measurement) องค์กรต้องเปลี่ยนจากการเล่าว่า "เราทำอะไรไปบ้าง" ไปสู่การแสดงให้เห็นว่า "สิ่งที่เราทำสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้อย่างไร" ผ่านตัวชี้วัดที่จับต้องได้ เช่น
เมื่อพูดถึงมิติ "ธรรมาภิบาล" หรือ Governance ในหลักการ ESG หลายคนอาจนึกถึงการจัดทำรายงานความโปร่งใส หรือการสื่อสารข้อมูลไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงปลายทางของกระบวนการเท่านั้น
หัวใจที่แท้จริงของ Governance คือ "โครงสร้างและกลไกภายใน" ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังขององค์กร เป็นระบบปฏิบัติการที่ควบคุมทิศทางและสร้างความเชื่อมั่นว่าองค์กรจะดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง มีความรับผิดชอบ และเที่ยงธรรม
นี่คือองค์ประกอบหลักของ Governance ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในยุคนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ประเด็นสำคัญของธรรมาภิบาล ได้แก่
1. จริยธรรมทางธุรกิจที่เข้มแข็ง (Strong Business Ethic)
การยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องผ่านนโยบายและจรรยาบรรณ (Code of Conduct) ที่ชัดเจน ครอบคลุมตั้งแต่การปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเท่าเทียม ไปจนถึงการตัดสินใจทางธุรกิจที่คำนึงผลกระทบตต่อทุกฝ่าย
2. นโยบายการต่อต้านคอร์รัปชันที่จริงจัง (Robus Anti-Corruption)
ธรรมมาภิบาลที่ดีต้องมีมาตรฐานเชิงรุกที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง เช่น
"ความไว้วางใจ" ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคำพูด แต่เกิดจากการมีระบบ "ตรวจสอบและถ่วงดุล" (Checks and Balances) ที่มีประสิทธิภาพผ่านคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่มีความเป็นอิสระ บทบาทของคณะกรรมการเหล่านี้ไม่ใช่แค่การประชุม แต่คือการกำกับดูแลให้ฝ่ายบริหารดำเนินงานตามเป้าหมายและเป็นไปตามความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง เช่น
การประเมินความเสี่ยงที่อาจไม่ปรากฏชัดในการ วิเคราะห์ความเสี่ยงแบบดั้งเดิม (Traditional Risk Assessment) ซึ่งมักเน้นไปที่ความเสี่ยงทางการเงินและการดำเนินงานเป็นหลัก ซึ่งข้อมูล ESG จะช่วยให้การประเมินความเสี่ยงขององค์กรมีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเหตุผลต่างๆ เหล่านี้
1. ช่วยให้องค์กรมองเห็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
ข้อมูล ESG ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นความเสี่ยงที่อาจมองข้ามไป เช่น ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) หรือความเสี่ยงด้านกฎระเบียบใหม่ๆ ประกอบด้วย
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)
ข้อมูล ESG ช่วยให้ประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น
- ความเสี่ยงด้านนโยบายและกฎหมาย: การออกมาตรการภาษีคาร์บอน, กฎหมายจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดขึ้น, หรือข้อกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานหรือทำให้ธุรกิจบางประเภทไม่สามารถแข่งขันได้หากปรับตัวไม่ทัน
- ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: เทคโนโลยีเก่าที่ปล่อยมลพิษสูงอาจล้าสมัยและถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีสะอาด ทำให้ต้องมีการลงทุนใหม่
- ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง: การถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและนักลงทุน
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบใหม่ๆ (New Regulatory Risks)
- กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น: นอกเหนือจากเรื่อง Climate Change ยังมีกฎหมายอื่นๆ เช่น การจัดการของเสีย, การควบคุมมลพิษทางน้ำและอากาศ, การใช้สารเคมีอันตราย ซึ่งหากองค์กรไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับหรือสั่งปิดกิจการ
- กฎหมายด้านสังคม: เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่เข้มงวดขึ้น, ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน (เช่น การตรวจสอบการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานเด็ก), กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่ค่าปรับจำนวนมหาศาลและความเสียหายต่อชื่อเสียง
- กฎหมายด้านธรรมาภิบาล: เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับความหลากหลายของคณะกรรมการ, การเปิดเผยข้อมูลผู้บริหาร, หรือมาตรการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันที่เข้มข้นขึ้น
ค้นพบโอกาสทางธุรกิจใหม่: การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ช่วยให้เห็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรม, พัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการสีเขียว (Green Products) ที่ตอบโจทย์ตลาด และวางกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
- ช่วยเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่
หลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ มีข้อกำหนดด้าน ESG สำหรับสินค้านำเข้า การมีผลการดำเนินงาน ESG ที่ดีจึงเป็นใบเบิกทางสู่ตลาดเหล่านี้ นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากมีนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว โดยให้ความสำคัญกับซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐาน ESG ที่ดี ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ช่วยดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มที่ใส่ใจความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
- ช่วยสร้างแบรนด์และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ลูกค้าในระยะยาว
องค์กรที่แสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรมและโปร่งใส จะได้รับความไว้วางใจและความชื่นชมจากสาธารณชน และทำให้ลูกค้ารู้สึกดีที่ได้สนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจโลกและสังคม ซึ่งนำไปสู่ความภักดีที่มากกว่าแค่เรื่องราคาหรือคุณภาพสินค้า
- ช่วยเสริมสร้างกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ช่วยให้องค์กรคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ทั้งความเสี่ยงและโอกาส เพื่อปรับโมเดลธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับ องค์กร และได้รับความไว้วางใจและความชื่นชมจากสาธารณชน
ตลอดบทความนี้ เราได้เห็นแล้วว่าภูมิทัศน์ทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจหวนกลับ และ ESG ไม่ได้เป็นเพียงกระแสหรือกิจกรรมเพื่อสังคมที่แยกส่วนออกจากการดำเนินงานหลักอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความได้เปรียบและความสำเร็จที่ยั่งยืน
ดังนั้น การบริหารจัดการประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จึงไม่ใช่ 'ต้นทุน' ที่องค์กรต้องแบกรับ แต่คือ 'การลงทุน' ที่ชาญฉลาดและจำเป็นเพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนขององค์กร เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความผันผวน เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทาย และคว้าจับโอกาสในการเติบโตได้อย่างแท้จริงในโลกยุคใหม่ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า ESG มีความสำคัญอย่างไรอีกต่อไป แต่อยู่ที่ว่า "วันนี้องค์กรของคุณเริ่มต้นเส้นทาง ESG อย่างจริงจังแล้วหรือยัง?" อนาคตของธุรกิจคุณขึ้นอยู่กับการตอบคำถามนี้และการลงมือทำตั้งแต่วันนี้
หากองค์กรของคุณกำลังมองหาเครื่องมือช่วยจัดการและรายงานข้อมูล ESG อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การรายงานสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล PALO IT สามารถช่วยคุณได้! ทั้งการออกแบบ พัฒนา และให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้าน ESG data management platform ของเรา หรือสามารถคลิกกรอกแบบฟอร์มเพื่อติดต่อเราได้ที่นี่เลย 👉🏻 PALO IT Thailand